Breaking News

SHR โชว์ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 ฟื้นตัวโดดเด่น ชูกำไรสุทธิ 208 ล้านบาทพลิกบวกครั้งแรกตั้งแต่เกิดการระบาดของโรค COVID

กรุงเทพ, 10 พฤศจิกายน 2565 – SHR ชูผลการดำเนินงานโต 66% กวาดรายได้ 2,362 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3 พร้อมพลิกรายงานกำไรสุทธิจำนวน 208 ล้านบาท ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า เดินหน้าดันผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของปีให้เติบโตต่อเนื่อง มั่นใจทะลุเป้าหมายรายได้ที่วางไว้ 8,500 ล้านบาท
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘SHR’ บริษัทในเครือสิงห์ เอสเตท รายงานรายได้จากการขายและการให้บริการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ที่ 6,123 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผลักดันจากการเติบโตของผลประกอบการของโรงแรมที่บริษัทฯ ลงทุนเติบโตขึ้นทั้ง 4 พอร์ตโฟลิโอ นำทัพโดยผลประกอบการที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่องของโรงแรมทั้ง 2 แห่งในโครงการ CROSSROADS Maldives ซึ่งสามารถรักษาอัตราการเข้าพักได้อย่างแข็งแกร่งเฉลี่ยที่ระดับร้อยละ 67 อีกทั้งยังสามารถปรับอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (ADR) ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 41 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เช่นเดียวกันกับพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักรที่ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรง ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักต่อคืน หรือ ADR อยู่ในระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่เปิดดำเนินงานมาในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ที่ 89 ปอนด์ และผลักดันให้ RevPAR ในงวด 9 เดือนของปีปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ซึ่งนับเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้สำเร็จ นอกจากนั้นแล้ว บริษัทฯ เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนของอุปสงค์การท่องเที่ยวในสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ ตามด้วยสาธารณรัฐมอริเชียส ภายหลังการเริ่มเปิดประเทศอย่างรูปแบบ ส่งผลให้รายได้ในงวดดังกล่าวของพอร์ตโรงแรม Outrigger ฟื้นตัวโดดเด่นที่สุดด้วยรายได้ที่ 1,012 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตกว่า 22 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับในไตรมาสที่ 4 เราเชื่อว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 2565 ซึ่งจะถูกผลักดันโดยผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของโรงแรมในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนผ่านสถิติการท่องเที่ยวในเดือนตุลาคม 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในไทยเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 44 จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 3.1 ล้านคน ซึ่งฟื้นตัวเกือบเทียบเท่าระดับเดียวกับจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด-19 จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ผนวกกับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโรงแรมในประเทศไทยของบริษัทฯ ส่งผลให้ในเดือนตุลาคม 2565 โรงแรมในประเทศไทยของบริษัทฯ มีอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับร้อยละ 71 โดยเฉพาะโรงแรม ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ และโรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต มีอัตราการเข้าพักที่ร้อยละ 81 และร้อยละ 77 ตามลำดับ ทั้งนี้ อัตราการเข้าพักมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้จนถึงต้นปี 2566 และปรับเพิ่ม ADR ได้สูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 ได้สำเร็จ และหนุนด้วยการเติบโตของ CROSSROADS ซึ่งปกติมีช่วง Peak seasons ของการท่องเที่ยวในระหว่างไตรมาสที่ 4 และคาดการณ์ว่าจะมีผลการดำเนินงานที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เปิดตัวโครงการในปี 2562 ได้ในไตรมาสที่ 4 ที่จะถึงนี้
นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยว่า “ผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวได้ดีกว่าที่เราคาดการณ์ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเป็นผลมาจากศักยภาพของโรงแรมของบริษัทฯ ที่ตั้งอยู่ในจุดหมายทางด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั้ง 5 แห่งทั่วโลก จุดขายที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่เเข่งของแต่ละโรงแรม ประกอบกับการทำตลาดเชิงรุกเต็มที่เพื่อเสริมสร้างกลยุทธ์ในการหมุนเวียนลูกค้า เพื่อสร้างสมดุลและเสถียรภาพทางรายได้ให้กับบริษัทฯ เรามีความมั่นใจต่อผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของปี ที่จะโตอย่างโดดเด่น และผลักดันให้รายได้ทั้งปี 2565 เติบโตขึ้นกว่า 90% จากปีก่อนหน้า”
SHR ได้รับเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2565 โดยมีบริษัทจดทะเบียนที่ได้เข้ารายชื่อหุ้นยั่งยืนทั้งสิ้น 170 บริษัท ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทชั้นนำที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยการได้รับคัดเลือกนี้ สะท้อนว่าบริษัทฯ สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆของ THIS ได้ โดยการหลอมรวมการดำเนินงานอย่างยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อให้เกิดการสร้างมูลค่าแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายทางด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวทางของสหประชาชาติ (UN’s Sustainable Development Goals :SDGs) ซึ่งรวมถึงการปฏิบัติตามเป้าหมายในหัวข้อที่ 11 ว่าด้วยเมืองและสังคมยั่งยืน (Sustainable Cities & Communities) เป้าหมายข้อที่ 14 ชีวิตใต้น้ำ (Life Below Water) โดยการยึดถือแนวทางปฏิบัติดังกล่าวนั้น บริษัทฯ เชื่อว่าจะช่วยให้เกิดผลดีลงไปสู่ทุกคนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนี้ ซึ่งรวมถึงผู้คนในท้องถิ่นที่จะได้รับประโยชน์การจากพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
นอกจากนั้นแล้ว เรายังเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะพอร์ตโรงแรมสหราชอณาจักร ด้วยแผนปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของโรงแรมผ่านการใช้กลยุทธ์การหมุนเวียนลงทุนสินทรัพย์ กล่าวคือการขายสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพต่ำ และนำเงินที่ได้ไปลงทุนในโรงแรมที่มีศักยภาพสูงนั้น โดยระหว่างปี 2565 บริษัทฯ บรรลุข้อตกลงการขายโรงแรม Mercure Burton upon Trent Newton Park และโรงแรม Mercure London Watford มูลค่ารวม 19 ล้านปอนด์ ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์แห่งนี้จะถูกนำไปลงทุนใหม่เพื่อยกระดับสินทรัพย์อื่นๆ ในสหราชอาณาจักรที่มีศักยภาพการแข่งขันสูง บริษัทฯ ยังได้มีการเข้าซื้อสัญญาเช่าหลัก (Head Lease) ของโรงแรม Mercure Perth มูลค่า 2.7 ล้านปอนด์ ซึ่งช่วยทำให้โรงแรมดังกล่าวมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมาก
ตามมาด้วยการรีโนเวทโรงแรม Outrigger Fiji Beach Resort, ที่จะดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2565 จนถึงสิ้นปี 2566 ซึ่งเป็นการปรับปรุงโรงแรมครั้งใหญ่ทั้งในส่วนของห้องพัก และพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งจะช่วยให้สามารถปรับขึ้น ADR ได้ 10-15% และการยกระดับห้องพักบางส่วนของ CROSSROADS Maldives เพื่อปรับตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (repositioning) ให้สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มลักชัวรี่ได้มากยิ่งขึ้น โดยผลสำเร็จจากการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงแรมจะผลักดันให้เป้าหมาย ADR ของเราปรับตัวสูงขึ้นได้ราว 15 – 20%
นายเดิร์ก กล่าวปิดท้ายว่า “เรามั่นใจต่อทิศทางการดำเนินงานที่เป็นไปในทิศทางที่เราตั้งเป้าหมายไว้สำหรับปี 2565 นี้ เป็นผลจากพอร์ตโฟลิโอที่กระจายตัวตามแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมทั่วโลก เราตั้งเป้าหมายในปี 2566 ที่จะมีรายได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งแตะ 10,000 ล้านบาท เป็นผลมาจากการที่ SHR เดินหน้าพัฒนาห้องพักของโรงแรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสินทรัพย์และศักยภาพในแข่งขัน และผลักดันให้ RevPAR ของทุกโรงแรมเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ในอนาคต รวมถึงภายในสิ้นปี 2566 จะมีการเปิดให้บริการของลักชัวรี่รีสอร์ทแห่งใหม่บนโครงการ CROSSROADS Maldives ภายใต้แบรนด์ SO/ ที่คาดว่าจะสามารถรองรับนักเดินทางทั่วมุมโลกได้

ไม่มีความคิดเห็น